1. โลหะวิทยา (Metallurgy)หมายถึงอะไร
ตอบ หมายถึง ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับโลหะ ซึ่งอธิบายถึงวิธีการแยกแยะแบ่งประเภทโลหะ กรรมวิธีการทำสินแร่ให้เป็นโลหะบริสุทธิ์ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรม ความรู้แขนงนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญในการศึกษาเกี่ยวกับโลหะต่าง ๆ นอกเหนือไปจากนี้ วิชาโลหะวิทยายังศึกษาเกี่ยวกับ คุณสมบัติ, พฤติกรรม และโครงสร้างภายในของโลหะ เมื่อศึกษาทำความเข้าใจเสร็จแล้ว ก็สามารถนำมาใช้ประยุกต์ได้ ผลที่ได้จะสามารถสร้างคุณสมบัติที่เหมาะสมของโลหะเพื่อนำไปใช้งานเฉพาะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. โลหะ จำแนกออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
3. โลหะจำพวกเหล็กแบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 3 ชนิดคือ
1.เหล็กดิบ
เหล็กดิบเป็นผลผลิต ที่ได้มาจากเตาสูง หรือเรียกว่า เตาบลาสต์เฟอร์เนซ (Blast Furnace) โดยการถลุงสินแร่เหล็ก ความร้อนที่ใช้ในการถลุงนั้นได้มาจากการเผาไหม้ของถ่านโค้ก (Coke) โดยมีลมร้อนเป็นสิ่งที่ช่วยในการเผาไหม้ ทั้งนี้เพื่อให้ได้อุณหภูมิสูงยิ่งขึ้น โดยให้ความร้อนสูงได้ถึง 3000 °F หรือประมาณ 1649 °C ซึ่งในระดับอุณหภูมิดังกล่าวนี้ สามารถหลอมละลายสินแร่ต่าง ๆ ได้ และสิ่งสำคัญ อีกประการหนึ่งก็คือ สิ่งสกปรกซึ่งในกระบวนการหลอมละลายสินแร่ด้วยเตาสูงนั้น จะมีสิ่งสกปรกเกิดขึ้น ซึ่ง เราเรียกว่า สแลก (Slag) ซึ่งต้องกำจัดออกจากน้ำโลหะ ก่อนนำโลหะนั้นไปเทลงสู่แบบหล่อสำหรับวัตถุดิบที่ใช้ถลุงเหล็กดิบนั้น ได้แก่ สินแร่เหล็ก หินปูน ถ่านโค้ก และเหล็กใช้ซ้ำ ซึ่งจะถูกบรรจุลงในเตาสูง
เหล็กหล่อเป็นเหล็กที่รู้จักและใช้กันอย่างแพร่หลายมาเป็นระยะเวลานาน เหล็กหล่อคล้ายกับเหล็กกล้า (Steel) ก็ตรงที่เหล็กหล่อนั้นเป็นเหล็กที่มีธาตุคาร์บอนผสมอยู่เช่นเดียวกัน และสามารถศึกษาโครงสร้างจากแผนภาพสมดุล (Equilibrium Diagram)ใน รูป ก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าปริมาณของคาร์บอนในเหล็กหล่อ จะมีมากกว่าในเหล็กกล้า คือมีคาร์บอนตั้งแต่ร้อยละ 2 % – 6.67 % ในอุตสาหกรรม เหล็กหล่อ โดยทั่วไปแล้ว จะมีคาร์บอนอยู่ ร้อยละ 2.5% – 4 % ถ้าปริมาณคาร์บอนมากกว่านี้เหล็กจะสูญเสียคุณสมบัติทางด้านความเหนียว (Ductility) คือเปราะ และแตกหักได้ง่ายเมื่อถูกแรงกระแทก ปกติ
เหล็กหล่อส่วนมากจะขาดคุณสมบัติทางด้านความเหนียวเมื่อเทียบกับเหล็กกล้าจึงไม่สามารถขึ้นรูปด้วยการรีดหรือการดึงขึ้นรูปที่อุณหภูมิสูงได้การขึ้นรูปเหล็กหล่อที่อุณหภูมิสูงนั้นทำได้ยาก แต่วิธีที่ใช้ในการขึ้นรูปถึงแม้ว่ารูปร่างจะซับซ้อน ก็สามารถทำได้ โดยการหลอมเหล็กให้ละลาย แล้วเทลงแบบหล่อที่ทำด้วยทราย หรือวัสดุทนความร้อน จึงได้ชื่อตามกรรมวิธีการขึ้นรูปว่า เหล็กหล่อ หลังจากหล่อ รูปร่าง ได้ใกล้เคียงกับขนาดที่ต้องการแล้ว จึงนำมาทำการกลึง ไส ตัด และเจาะ แม้ว่าเหล็กหล่อส่วนใหญ่จะให้คุณสมบัติความเค้นแรงดึงสูงสุด ต่ำ และขาดคุณสมบัติทางด้าน ความเหนียว แต่เหล็กหล่อมีราคาถูกว่า มีจุดหลอมตัวต่ำ สามารถขึ้นรูปได้รูปร่างง่ายกว่าเหล็กกล้า และยังสามารถปรับคุณสมบัติต่าง ๆ โดยการเติมธาตุผสมที่เหมาะสม และการอบชุบที่ดีจะทำให้ คุณสมบัติของเหล็กหล่อนั้นเปลี่ยนแปลงได้อย่างกว้างขวาง จนเหล็กหล่อบางชนิดมีคุณสมบัติใกล้ ้เคียงกับเหล็กกล้าทำให้ในการพัฒนาอุสาหกรรมเหล็กหล่อ เป็นไปอย่างกว้างขวาง รวมทั้งปริมาณการผลิตเหล็กหล่อ ก็เพิ่ม ปริมาณขึ้นอย่างรวดเร็ว
เหล็กกล้าเป็นเหล็กที่ถูกนำไปใช้ในงานต่าง ๆ มากมาย ทั้งนี้เนื่องจากเหล็กกล้านั้นมีคุณสมบัติในการรับแรงต่างๆ ได้ดี เช่น แรงกระแทก(Impact Strength) แรงดึง (Tebsile Strength) แรงอัด (Compressive Strength) และแรงเฉือน (Shear Strength) ซึ่งธาตุผสมส่วนใหญ่จะเป็นทั้งโลหะและอโลหะ เช่น โมลิบดินั่ม ทังสเตน วาเนเดียม เป็นต้น สำหรับกรรมวิธีทางความร้อนที่ทำต่อเหล็กกล้านั้น จะทำให้โครงสร้างเล็ก ๆ (Microstructure) ของเหล็กกล้าเปลี่ยนไป
4. เหล็กหล่อ แบ่งออกเป็นกี่กลุ่ม อะไรบ้าง
ตอบ ชนิดของเหล็กหล่อโดยอาศัยลักษณะโครงสร้างพื้นฐานและลักษณะการรวมตัวของคาร์บอนเป็นหลัก แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1.เหล็กหล่อสีขาว เป็นเหล็กหล่อที่มีคาร์บอนผสมอยู่ตั้งแต่ ร้อยละ 1.7 – 2 % ซึ่งคาร์บอนจะรวมตัวกับแม่เหล็กอยู่ ในรูปคาร์ไบด์หรือ ซีเมนไทต์ (Fe3C) ทำให้เหล็กมีความแข็งเปราะ แตกหักได้ง่าย เนื้อเหล็กจะมีสีขาว เหล็กหล่อขาวนี้จะมีความความแข็งอยู่ระหว่าง 380 – 550 HB ความแข็งนี้จะแปรเปลี่ยนไปตามธาตุผสมอื่นๆอีกด้วย เช่น โครเมียม หรือโมลิบดินั่ม
2.เหล็กหล่อสีเทาหรือเหล็กหล่อสีดำ เหล็กหล่อชนิดนี้จะมีโครงสร้างคล้ายกับเหล็กดิบ ซึ่งในบางครั้งสามารถผลิตเหล็กหล่อสีเทาได้จากเหล็กดิบ เหล็กหล่อสีเทาจะมีราคาถูกเมื่อเทียบกับโลหะชนิดอื่น ทั้งยังตกแต่งขึ้นรูปได้ง่าย มีจุดหลอมเหลวต่ำ อัตราการขยายตัวมีน้อย ทนต่อแรงอัดและรับแรงสั่น (Damping Capacity) ได้ดี
3.เหล็กหล่อเหนียว เหล็กหล่อชนิดนี้ จะมีความเค้นแรงดันสูงทั้งยังมีความเหนียวและทนต่อแรงกระแทกได้ดี ในการทดสอบแรงดึงเหล็กหล่อเหนียวจะพบว่าคล้ายคลึงกับเหล็กกล้าคือ จะมีความยืดหยุ่น (Elastic) แต่จะไม่ปรากฏจุดคราก (Yield Point) นอกจากนั้นยังสามารถปรับปรุงคุณสมบัติทางกลโดยวิธีทางความร้อนได้ดีอีกด้วย
4.เหล็กหล่อผสมหรือเหล็กหล่อพิเศษ เหล็กหล่อชนิดนี้นอกจากมีคาร์บอนผสมอยู่แล้ว ยังมีธาตุอื่น ๆ ผสมเพิ่มเติมด้วย เช่น โครเมียม นิกเกิล และโมลิบดินั่ม เป็นต้น นอกจากนี้ เพื่อให้เหล็กหล่อชนิดนี้มีความแข็งขึ้น ทนทานต่อการเสียดสี ต้านทานแรงดึงและแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี
5. โลหะนอกจำพวกเหล็ก แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
ตอบ 3 ชนิดดังนี้คือ
1.โลหะหนัก
2.โลหะเบา
3.โลหะผสม
6. โลหะหนักหมายถึงอะไร
ตอบ โลหะหนัก หมายถึง โลหะที่มีความหนาแน่นสูงกว่า 4 kg/dm3 ซึ่งโลหะหนักมีความสำคัญในงานอุตสาหกรรมอย่างมากและยังเป็นต้นกำเนิดโลหะผสมอีกหลายชนิดด้วยกัน
7. โลหะหนักที่นิยมใช้กันทั่วไป ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ โลหะหนักที่นิยมใช้กันทั่วไป มีดังนี้
1.ทองแดง
ทองแดง มีความหนาแน่น 8.9 kg/dm3 จุดหลอมเหลว 1,073 – 1,093° C และ ดึงเป็นเส้นได้ดีมาก นอกจากนั้นยังสามารถนำไฟฟ้าและความร้อนได้ด ีอีกทั้งยังทนต่อการสึกหรอ และทนต่อการกัดกร่อน ฟิล์มของทองแดงจะมีสีเขียวเรียกว่า พาตินา (Patina) ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันการแทรกตัวของอากาศได้ดี แต่ถ้านำทองแดงไปใช้ทำเป็นภาชนะเก็บกรดน้ำส้ม จะเกิดสารประกอบที่มีพิษต่อร่างกายกรรมวิธีถลุงทองแดงมี 2 วิธีใหญ่ๆ คือ กรรมวิธีแห้ง และกรรมวิธีเปียก นอกจากนี้ทองแดงยังสามารถแปรรูปด้วยวิธีอื่นๆ ได้ เช่น ทองแดงตีขึ้นรูป ทองแดงรีดขึ้นรูป เป็นต้นทองแดงสามารถนำไปใช้ทำสายไฟฟ้า เครื่องไฟฟ้า หัวแร้งบัดกรี เครื่องประ
ดับต่าง ๆ หรืออุปกรณ์เครื่องเย็น และอุปกรณ์เครื่องกล เป็นต้น นอกจากนั้นยังสามารถทำเป็นวัสดุผสม เช่น ทองเหลือบรอนซ์ เป็นต้น
2.เงิน
เงิน มีความหนาแน่น 10.5 kg/dm3 จุดหลอมเหลว 960 °C เป็นโลหะมีสีขาวผิวเป็นมัน มีคุณสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดีที่สุด มีราคาแพงเงินสามารถนำไปใช้ทำหลอดกลักฟิวส์และหน้าสัมผัสงานไฟฟ้า เครื่องวัดด้วยแสงที่ต้องการความเที่ยงตรงของสเกล เช่น กล้องโทรทัศน์ กล้องทีโอโดไลต์ (สำหรับวัดมุมระดับในงานก่อสร้าง) โลหะรูปพรรณ งานชุบเงิน เครื่องใช้ต่าง ๆ เงินตรา และใช้ผสมกับโลหะอื่น ๆ ทำเหรียญต่าง ๆ
3.ตะกั่ว
ตะกั่ว มีความหนาแน่น 11.2 kg/dm3จุดหลอมเหลว 327 °C เป็นโลหะที่มีความเหนียวและนิ่มขึ้นรูปได้ง่าย มีความหนาแน่นมาก อีกทั้งยังมีจุดหลอมเหลวต่ำทนการกัดกร่อนได้ดี โดยเฉพาะกรด แต่สารประกอบของตะกั่วนั้นมีพิษต่อร่างกาย โดยปกติแล้วตะกั่วมักเกิดร่วมกับสังกะสีนอกจากนี้ตะกั่วยังมีคุณสมบัติเป็นตัวหล่อลื่นที่ดีอีกด้วย แต่ตะกั่วมีความแข็งแรงต่ำตะกั่วสามารถนำไปใช้ทำแผ่นตะกั่ว ในหม้อแบตเตอรี่ โลหะหุ้มสายเคเบิล ฉาบป้องกันกัมมันตภาพรังสีต่าง ๆ ทำโลหะผสมต่างๆ ใช้ในงานอุตสาหกรรมทำสี ทำน้ำหนักถ่วงความสมดุล บุฝาผนังห้องและพื้นห้องเพื่อเก็บเสียงและลดการสั่นสะเทือนได้อีกด้วย
4.ดีบุก
ดีบุกมีความหนาแน่น 7.3 kg/dm3 จุดหลอมเหลว 232 ° C ดีบุกเป็นโลหะที่มีสีขาวคล้ายเงิน มีจุดหลอมเหลวต่ำ เนื้อโลหะอ่อนและรีดเป็นแผ่นได้ง่าย อีกทั้งยังทนต่อการกัดกร่อนในบรรยากาศปกติได้ดี ไม่เป็นพิษจึงนำไปเคลือบแผ่นเหล็กทำกระป๋องบรรจุอาหาร และถ้านำแท่งดีบุกตัดโค้งงอเราจะได้ยินเสียงจากภายในเนื้อของดีบุก แต่ถ้าอุณหภูมิของแท่งดีบุกน้อย
กว่า18 ° C ดีบุกนั้นจะสลายตัวเป็นเม็ดป่นสีเทา ดีบุกนี้ถลุงมาจากสินแร่ดีบุกออกไซด์ สามารถนำดีบุกไปใช้เป็นโลหะบัดกรีแบริ่ง ทั้งยังใช้เคลือบแผ่นเหล็กเพื่อป้องกันการกัดกร่อน และใช้ทำอุปกรณ์ไฟฟ้า – อิเล็กทรอนิกส์
8. โลหะเบาหมายถึงอะไร ได้แก่อะไรบ้าง จงยกตัวอย่าง
ตอบ โลหะเบา หมายถึง โลหะที่มีความหนาแน่นน้อยกว่า 4 kg/dm3 โดยทั่วไปได้แก่
9. โลหะผสม ได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ โลหะผสม ได้แก่
-ทองเหลือง
-บรอนซ์
-โลหะซินเตอร์
10. ความแข็งคืออะไร
ตอบ ความแข็ง คือ การต้านทานต่อการเสียรูปของวัสดุ หรือ ความต้านทานต่อการกระทำต่อวัสดุ เมื่อวัสดุสูญเสียความต้านทาน ก็จะก่อให้เกิด ความเสียหาย (Damaged), รอยบุ๋ม (Dent), ความเสื่อม หรือความทรุดโทรมอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลที่ได้จากแรง หรือความกดดันที่กระทำต่อวัสดุนั้น ในความต้องการที่จะรู้ค่าความแข็งของวัสดุ จำเป็นต้องหาเครื่องมือมาวัด เครื่องมือนี้จะสร้างรอยกดบุ๋มเป็นจุด บนพื้นผิว ด้วยแรงกดที่กระทำบนพื้นผิววัสดุที่ต้องการทราบความแข็ง
11. จงอธิบายความสัมพันธ์กันของความแข็งกับคุณสมบัติด้านอื่น ๆ
ตอบ ความแข็ง คือคุณสมบัติของโลหะ ที่มีความสำคัญต่อวัสดุ ซึ่งมีการเกี่ยวพันกับคุณสมบัติอื่น ๆ ของโลหะด้วย เช่น ความแข็งแกร่ง (Strength), ความเปราะ (Brittleness) และความสามารถในการยืดตัว (Ductility) ในการวัดความแข็งของโลหะนั้น จะเป็นการวัดความแข็งแกร่ง, ความเปราะ และยืดเป็นแผ่นของโลหะ โดยทางอ้อมโดยทราบจากการทดลอง แล้วนำมาคำนวณหาคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกันได้ประโยชน์ที่ได้จากการทราบค่าความแข็งของโลหะมีมากมาย อาทิเช่น
· เลือกวัสดุให้เหมาะสมกับงานที่ทำ ดูว่าวัสดุนั้นมีความแข็งพอที่จะนำมาสร้างได้หรือไม่
· รู้ค่าความแข็งเพื่อสร้างชิ้นงานที่ต้องการออกแบบให้พังก่อน อีกชิ้นหนึ่ง (ไม่ได้กล่าวรายละเอียดในที่นี้ จะพบในเรื่องของการออกแบบสร้างเครื่องกล)
· รู้ถึงความทนทานของวัสดุที่นำมาทำ ซึ่งสามารถคำนวณอายุการใช้งานได้
· ฯลฯ
12. วิธีการวัดความแข็งที่นิยม มีกี่วิธี อะไรบ้าง
ตอบ 2 วิธี ได้แก่ วัดความแข็งโดยการกดเป็นรอย (Penetration hardness) และวัดความแข็งโดยการสร้างรอยขีดข่วน (Scratch hardness)
1.วัดความแข็งโดยการกดเป็นรอย เป็นเทคนิคการวัดที่มีความแม่นยำมากที่สุด ในการใช้เครื่องทดสอบเป็นตัววัด ตัวเครื่องกดนี้ใช้แรงในการกดชิ้นโลหะให้เกิดรอยบุ๋มลงไปในเนื้อโลหะ และทำการวัดขนาดรอยกด และแรงที่ใช้กด แล้วนำมาคำนวณเพื่อหาค่าความความแข็งของโลหะ
2.วัดความแข็งโดยการสร้างรอยขีดข่วน เป็นการวัดแบบรวดเร็ว และหยาบ ชิ้นงานโลหะที่ใช้วิธีนี้หาค่าความแข็ง โดยใช้ของมีคมที่มีความแข็งกว่าชิ้นงานตัวอย่าง มาขีดบนชิ้นงานให้เกิดรอยขีดข่วน การวัดแบบนี้จะไม่มีค่าออกมาเป็นตัวเลข แต่จะใช้ความรู้ และประสบการณ์ เพื่อตัดสินว่าชิ้นงานนั้นเป็นชิ้นงานที่ แข็ง หรือ อ่อน ซึ่งขึ้นอยู่กับผลของรอยขีดข่วน
-----------------------------------------------------
ศูนย์หนังสือสอบ
>รวบรวมจากผู้สอบติดอันดับต้นๆของประเทศ เจาะข้อสอบเข้างานราชการ <<
>> สรุปสาระสำคัญ อ่านกระชับเวลา ไม่สับสน เข้าใจง่าย ออกชัวร์ๆ แม่นยำ <<
>> รวบรวมจากรุ่นพี่ที่สอบได้อันดับต้นๆ+เจาะลึกตรงประเด็น เก็งข้อสอบ <<
>> แนวข้อสอบพร้อมเฉลย+เนื้อหาสรุปเรียบร้อย ประหยัดเวลาในการอ่าน <<
** Update เจาะลึกทุกประเด็น ครอบคุมเนื้อหาที่ออกสอบ รวมทั้งแนวข้อสอบ พร้อมเฉลย คำอธิบาย
** ออกบ่อย รวมแนวข้อสอบที่ออกจริงออกบ่อยทุกปี เน้นๆเนื้อๆ คุณภาพ
** ติวเข้ม สรุปสาระสำคัญ อ่านกระชับเวลา ตีโจทย์ยากๆให้เข้าใจง่าย พร้อมเฉลย
** ครอบคุม ครอบคุมเนื้อหาที่ประกาศสอบ รวบรวมไว้ทั้งความรู้ทั่วไป และความรู้เฉพาะตำแหน่ง ไว้ในเล่มเดียว
------------------------------------------------------------------------------------
หน้าที่เข้าชม | 884,725 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 732,871 ครั้ง |
เปิดร้าน | 1 ก.พ. 2560 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |